คนบ้า ทำผิดกฎหมาย

https://pantip.com/topic/35929412

คนบ้า ทำผิดกฎหมาย

      ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 48 บัญญัติว่า ถ้าศาลเห็นว่า การปล่อยตัวผู้มีจิตบกพร่อง โรคจิต หรือจิตฟั่นเฟือน ซึ่งไม่ต้องรับโทษหรือได้รับการลดโทษตามมาตรา 65 จะเป็นการไม่ปลอดภัยแก่ประชาชน ศาลจะสั่งให้ส่งไปคุมตัวไว้ในสถานพยาบาลก็ได้ และคำสั่งนี้ศาลจะสั่งเพิกถอนเสียเมื่อใดก็ได้

      ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 49 บัญญัติว่า ในกรณีที่ศาลพิพากษาลงโทษจำคุก หรือพิพากษาว่า มีความผิดแต่รอการกำหนดโทษ หรือรอการลงโทษบุคคลใด ถ้าศาลเห็นว่าบุคคลนั้น ได้กระทำความผิดเกี่ยวเนื่องกับการเสพสุราเป็นอาจิณ หรือการเป็นผู้ติดยาเสพติดให้โทษ ศาลจะกำหนดให้พิพากษาว่า บุคคลนั้นจะต้องไม่เสพสุรายาเสพติดให้โทษอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งสองอย่าง ภายในระยะเวลาไม่เกินสองปีนับแต่วันพ้นโทษ หรือวันปล่อยตัวเพราะรอการกำหนดโทษ หรือรอการลงโทษก็ได้

      ในกรณีที่บุคคลดังกล่าวในวรรคแรก ไม่ปฏิบัติตามที่ศาลกำหนด ศาลจะสั่งให้ส่งไปคุมตัวไว้ในสถานพยาบาล เป็นเวลาไม่เกินสองปีก็ได้

      ข้อสังเกต การสั่งให้ส่งตัวจำเลยไปคุมขังไว้ในสถานพยาบาล ตามมาตรา 48 จะสืบเนื่องมาจากจำเลยกระทำความผิดในขณะไม่สามารถรู้ผิดชอบ หรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ เพราะมีจิตบกพร่อง โรคจิต หรือจิตฟั่นเฟือน ซึ่งศาลไม่ได้มีคำพิพากษาให้ลงโทษจำเลย เพราะจำเลยไม่ต้องรับโทษตามมาตรา 65 วรรคหนึ่ง หรือได้รับการลดโทษตามมาตรา 65 วรรคสอง ในคดีที่ศาลพิพากษาให้ลงโทษจำเลย ไม่ได้ปล่อยตัวจำเลยไป จะไม่เข้าเงื่อนไขที่ศาลจะสั่งให้ส่งตัวไปคุมขังไว้ในสถานพยาบาลได้

      การคุมตัวจำเลยไว้ในสถานพยาบาลเป็นเพราะจำเลยมีพฤติกรรมที่ไม่ปลอดภัยแก่ประชาชน พฤติการณ์ในการกระทำความผิดของจำเลย จะแสดงให้เห็นว่า การปล่อยตัวจำเลยจะเป็นอันตรายแก่ประชาชนหรือไม่ “ปกติจะมีการส่งตัวจำเลยไปให้แพทย์ตรวจและให้ความเห็น” แต่ถ้าหากข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานที่พนักงานอัยการโจทก์นำเข้ามาสืบ ปรากฎชัดว่าจำเลยเป็นโรคจิต จิตบกพร่อง หรือจิตฟั่นเฟือน และมีพฤติกรรมที่เป็นอันตรายแก่ประชาชน ศาลก็มีอำนาจพิพากษาให้คุมตัวจำเลยไว้ ณ สถานพยาบาลได้

      คำพิพากษาฎีกาที่ 288 / 2530 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พฤติการณ์ของจำเลยซึ่งปรากฏจากคำเบิกความของผู้เสียหายทั้ง 4 คน แสดงให้เห็นว่าการกระทำของจำเลย เป็นการกระทำของบุคคลที่มีจิตบกพร่อง กล่าวคือ เมื่อนายพิชัยผู้เสียหายเดินผ่านจำเลย จำเลยก็ใช้มีดฟันโดยไม่มีสาเหตุ นายชัยชนะก็เช่นเดียวกัน ขณะกำลังคุย เมื่อเพื่อนบอกให้ระวัง พอหันไปดู ก็เห็นจำเลยกำลังเงื้อมีดฟันโดยไม่รู้สาเหตุอีกเช่นกัน เมื่อฟันแล้ว จำเลยก็วิ่งเข้าไปในบ้านของนายชัยชนะ ถือมีดควงไปมา 2 ถึง 3 ที แล้วก็วิ่งออกจากบ้านของนายชัยชนะไปฟันคนอื่นอีก นอกจากนั้นยังปรากฏจากคำเบิกความของ สิบตำรวจโทมานิตย์ว่า ได้รับแจ้งเหตุทางศูนย์วิทยุผ่านฟ้าว่า มีคนวิกลจริตกำลังไล่ฟันคนอยู่ในซอยทองหล่อ เมื่อไปถึงก็เห็นจำเลยกำลังถือมีดไล่ฟันคนและรถยนต์ที่ผ่านไปมาอยู่พฤติการณ์ของจำเลย ตามที่ปรากฏจากพยานหลักฐานของโจทก์ สอดคล้องกับข้อนำสืบของจำเลยว่า ขณะรับราชการทหาร จำเลยเคยถูกกับระเบิดได้รับบาดเจ็บ  เมื่อพ้นจากราชการทหารแล้ว บางครั้งจำเลยมีอาการผิดไปจากปกติ เช่น จำเลยเคยบอกกับนายจำปีพี่ชายจำเลยว่ามีคนจะมาฆ่า แล้วจำเลยก็วิ่งออกจากบ้านไป นายปุ๋ย สินเจริญ เพื่อนบ้านจำเลยก็เบิกความว่า จำเลยเคยไปขอเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านของนายปุ๋ย โดยบอกว่ามีคนไล่ฆ่าจำเลย จนพฤติกรรมของจำเลยเป็นที่รู้กันโดยทั่วไป จึงเห็นว่าการที่จำเลยใช้มีดฟันผู้เสียหายและรถยนต์ในวันเกิดเหตุ จำเลยได้กระทำไปขณะที่จำเลยไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ เพราะจิตบกพร่องหรือฟั่นเฟือน ถึงแม้การที่จำเลยมีจิตบกพร่อง หรือจิตฟั่นเฟือนนั้นจะไม่เป็นอยู่ตลอดเวลาจำเลยก็ไม่ต้องรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 65

      คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 , 140 , 289 , 295 , 358 , 360 , 371 , 80 , 91 และริบของกลาง จำเลยรับสารภาพว่ากระทำผิดตามฟ้อง เพราะขณะกระทำผิดจำเลยมีอาการมึนชาปราสาท

      ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 โดยจำคุกตามมาตรา 140 วรรคหนึ่ง หนึ่งปี จำคุกตามมาตรา 289 (2) ,80 ไว้ตลอดชีวิต จำคุกตามมาตรา 295 รวม 2 กรรม กรรมละ 1 ปีรวม 2 ปี จำคุกตามมาตรา 358 กำหนด 1 ปี จำคุกตามมาตรา 360 มีกำหนด 1 ปี ปรับตามมาตรา 371 เป็นเงิน 100 บาท รับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 คงเหลือจำคุก 28 ปี 8 เดือน ปรับ 50 บาท ของกลางริบ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องรับโทษสำหรับความผิดตามฟ้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 65 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่ให้ส่งจำเลยไปคุมไว้ ณ สถานพยาบาลตามมาตรา 48 เพื่อรักษาพยาบาลมีกำหนด 1 ปี เว้นแต่จำเลยจะมีอาการปกติและ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงโจทก์ฎีกา ศาลพิพากษาแก้เป็นว่า ไม่มีกำหนดระยะเวลาให้ส่งจำเลยไปคุมตัวไว้ในสถานพยาบาล นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

ข้อสังเกต

1. การให้ส่งตัวไปควบคุมไว้ในสถานพยาบาล เป็นดุลพินิจของศาล ศาลมีอำนาจสั่งได้เอง เมื่อเห็นสมควรโดยโจทก์ไม่ต้องร้องขอ กรณีนี้จะต่างกับการขอให้กัน ตามมาตรา 41 และ 43 พนักงานอัยการจะต้องร้องขอศาล จึงจะมีอำนาจสั่งให้กักกันได้

2. การส่งตัวไปควบคุมไว้ในสถานพยาบาลตาม มาตรา 48 กฎหมายไม่ได้กำหนดระยะเวลาไว้ หากปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้นั้นไม่มีพฤติการณ์ที่จะสร้างความไม่ปลอดภัยแก่ประชาชนต่อไป ศาลจะมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งที่ให้ส่งตัวไปควบคุมไว้ในสถานพยาบาลเสียเมื่อไหร่ก็ได้

      คำพิพากษาฎีกาที่ 1142 / 2498 พนักงานอัยการเป็นโจทก์ ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่น จำเลยให้การรับว่าได้ใช้มีดแทงผู้ตาย แต่กระทำไปเพราะถูกยั่วโทสะและทะเลาะกัน ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยมิได้กระทำความผิดเพราะวิกลจริต พิพากษาจำคุก 15 ปี จำเลยอุทธรณ์ว่ากระทำผิดขณะวิกลจริต ขอให้สั่งตัวจำเลยไปให้แพทย์ตรวจและให้ความเห็นเสียก่อนว่าจำเลยวิกลจริตหรือไม่ แล้วจึงมีคำพิพากษาต่อไป ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ส่งตัวจำเลยไปให้แพทย์ตรวจ แพทย์ตรวจแล้วให้ความเห็นว่าจำเลยเป็นคนสติทราม ความยั้งคิดอ่อน มีอาการไม่นึกถึงความดีความชั่วที่จะกระทำลงไป มีอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย ไหวง่ายและระเบิดออกมาเป็นการกระทำได้ง่าย เป็นโรคจิต แต่ไม่ถึงขั้นวิกลจริตตามกฏหมาย ศาลอุทธรณ์พิจารณาคำพยานโจทก์แล้วเห็นว่า จำเลยแทงผู้ตายในขณะที่เกิดอาการวิกลจริตขึ้น แต่มีสติพอจะรู้ผิดชอบหรือยับยั้งได้ จึงพิพากษาจำคุกจำเลยเป็นเวลา 4 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลย 15 ปี ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

      พฤติการณ์ของจำเลยตามที่ศาลฎีกาวินิจฉัยก็คือ พยานโจทก์เห็นจำเลยถือมีดตรงมายังพยาน พยานก็อุ้มลูกหนีวิ่งไป จำเลยเดินไปที่ผู้ตายแล้วใช้มีดแทงผู้ตาย หลังจากนั้นก็วิ่งหนีไป แล้วก็ไปแทงผู้อื่นอีกคนหนึ่ง และถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับตัวได้ และต่อมาก็ถูกฟ้องเป็นอีกคดีหนึ่ง ก่อนจำเลยจะแทงผู้ตาย ไม่ปรากฏว่าได้เกิดมีปากเสียงวิวาทกัน และไม่ปรากฏว่าจำเลยและผู้ตายมีสาเหตุต่อกัน อยู่ดีๆ ไม่น่าที่จำเลยจะทำร้ายผู้ตาย เมื่อทำร้ายผู้ตายแล้วก็วิ่งหนีไปทำร้ายผู้อื่นอีก เช่นนี้ ส่อแสดงให้น่าเชื่อว่า จำเลยกระทำความผิดขณะวิกลจริต แต่ยังมีสติพอรู้ผิดชอบ หรือยับยั้งได้ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ศาลฎีกาจึงพิพากษายืน

หากท่านไม่ได้รับความเป็นธรรมทางกฎหมาย ติดต่อที่ สำนักงานกฎหมาย อุดมคดี ที่
เบอร์ 082-583-8658
Line : @Udomkadee
Fanpage : https://www.facebook.com/UDOMKADEE