หนี้บัตรเครดิต

หนี้บัตรเครดิต คือ เงินที่ผู้ถือบัตรเครดิตต้องชำระคืนให้กับธนาคารหรือสถาบันการเงิน หลังจากที่ได้ใช้บัตรเครดิตในการซื้อสินค้า หรือบริการต่างๆ หากไม่ชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนด จะมีดอกเบี้ยที่สูงขึ้นตามมาซึ่งอาจทำให้หนี้เพิ่มขึ้นได้ หากมีการใช้บัตรเครดิตอย่างไม่ระมัดระวัง การจัดการหนี้บัตรเครดิตจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทางการเงินในอนาคต

      หนี้บัตรเครดิต คือ จำนวนเงินที่ผู้ถือบัตรเครดิต ต้องชำระคืนให้กับสถาบันการเงินหรือธนาคารตามยอดการใช้จ่ายที่เกิดขึ้นผ่านบัตรเครดิตนั้น โดยทั่วไปแล้วหนี้นี้จะรวมถึงยอดการซื้อสินค้าหรือบริการ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ รวมถึงดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมที่เกิดจากการชำระเงินล่าช้า

หนี้บัตรเครดิต มีลักษณะเฉพาะคือ:

  1. ไม่ต้องชำระเงินเต็มจำนวนทันที: ผู้ถือบัตรสามารถเลือกที่จะชำระเงินขั้นต่ำในแต่ละเดือน แต่จะต้องจ่ายดอกเบี้ยสำหรับยอดที่เหลืออยู่
  2. มีอัตราดอกเบี้ยสูง: หากไม่ชำระหนี้ภายในกำหนด จะมีการคิดดอกเบี้ยที่สูงมาก
  3. อาจมีค่าธรรมเนียมต่าง ๆ: เช่น ค่าธรรมเนียมการเบิกเงินสด หรือค่าธรรมเนียมการชำระเงินล่าช้า

การจัดการหนี้บัตรเครดิตอย่างมีระเบียบวินัยจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาหนี้สินในอนาคต

      หากคุณโดนฟ้องเกี่ยวกับ หนี้บัตรเครดิต หมายความว่าธนาคารหรือสถาบันการเงินได้ดำเนินการทางกฎหมายเพื่อติดตามหนี้ที่คุณค้างชำระ โดยทั่วไปขั้นตอนที่ควรทำมีดังนี้:

  1. ตรวจสอบเอกสาร: ดูว่ามีเอกสารการฟ้องร้องที่ถูกต้องหรือไม่ และตรวจสอบจำนวนเงินที่เรียกร้อง
  2. ติดต่อเจ้าหนี้: หากมีข้อสงสัยหรือประเด็นที่ไม่ชัดเจน สามารถติดต่อเจ้าหนี้เพื่อพูดคุยและหาทางออก เช่น การเจรจาเพื่อตั้งแผนการชำระหนี้
  3. ปรึกษาทนายความ: หากไม่แน่ใจเกี่ยวกับสถานการณ์ ควรปรึกษาทนายความเพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับสิทธิและวิธีการปฏิบัติ
  4. เตรียมเอกสาร: รวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่น ใบแจ้งหนี้ สัญญา และข้อมูลการชำระเงินก่อนหน้านี้
  5. เข้าร่วมการพิจารณาคดี: หากมีการพิจารณาคดี ให้เข้าร่วมและนำเสนอหลักฐานหรือข้อโต้แย้งที่เกี่ยวข้อง

      การจัดการหนี้บัตรเครดิตอย่างมีประสิทธิภาพและการสื่อสารกับเจ้าหนี้สามารถช่วยลดความตึงเครียดและหาทางออกที่ดีได้ในกรณีนี้

      การฟ้องร้องเนื่องจากหนี้บัตรเครดิตขึ้นอยู่กับนโยบายของสถาบันการเงินและกฎหมายในแต่ละประเทศ โดยทั่วไปแล้ว หากผู้ถือบัตรไม่ชำระหนี้เป็นเวลานาน (ประมาณ 3-6 เดือน) และมียอดหนี้สะสมที่สูงพอสมควร (อาจเริ่มตั้งแต่หลักหมื่นบาทขึ้นไป) สถาบันการเงินอาจดำเนินการฟ้องร้องได้

      อย่างไรก็ตาม ควรตรวจสอบข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงกับธนาคารหรือสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้อง เพื่อทราบรายละเอียดและแนวทางที่ถูกต้อง

      หนี้บัตรเครดิตมีอายุความตามกฎหมายคือ 2 ปี นับตั้งแต่วันที่เจ้าหนี้สามารถเรียกร้องหนี้ได้ ซึ่งโดยทั่วไปคือวันที่ชำระเงินล่าช้าหรือวันที่ชำระหนี้ครบกำหนด แต่หากมีการยอมรับหนี้หรือมีการทำสัญญาใหม่ อาจส่งผลให้อายุความเริ่มนับใหม่อีกครั้ง ควรปรึกษาทนายความหรือผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเพื่อข้อมูลที่ถูกต้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ของคุณ หากสู้คดีโดยไม่ต้องจ้างทนาย แต่ควรพิจารณาดี ๆ เพราะการฟ้องร้องเรื่องหนี้บัตรเครดิตอาจซับซ้อน การมีทนายความช่วยสามารถทำให้คุณเข้าใจสิทธิ์และแนวทางในการต่อสู้ได้ดีกว่าเพราะคุณจะต้องเตรียมตัวให้ดี เช่น ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับคดี รวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้อง และเข้าไปฟังคำให้การในศาลอย่างถูกต้อง หากคุณรู้สึกไม่มั่นใจหรือไม่เข้าใจในขั้นตอนต่าง ๆ การปรึกษาทนายความแม้เพียงครั้งเดียวเพื่อขอคำแนะนำอาจจะเป็นประโยชน์

      คุณสามารถขอไกล่เกลี่ย หรือต่อรองกับเจ้าหนี้ก่อนที่จะมีการฟ้องร้อง โดยส่วนใหญ่ธนาคารหรือสถาบันการเงินมักจะมีขั้นตอนในการเจรจาและไกล่เกลี่ยหนี้ ซึ่งอาจรวมถึงการทำแผนชำระหนี้หรือการขอส่วนลดจากยอดหนี้การเจรจาในขั้นตอนนี้มักจะช่วยลดภาระหนี้ก้อนใหญ่ หรือผ่อนในอัตราที่น้อยลง แต่อาจจะมีดอกเบี้ยระหว่างผ่อนแอบแฝงอยู่นั่นเอง

      บัตรเครดิต เป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญา คดีบัตรเครดิตถือเป็นคดีแพ่ง ไม่ใช่คดีอาญา เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการฟ้องร้องเพื่อเรียกร้องหนี้สินหรือการชดเชยค่าเสียหายจากการไม่ชำระหนี้ ในกรณีนี้ เจ้าหนี้จะฟ้องร้องเพื่อเรียกร้องเงินที่ยังไม่ได้ชำระจากผู้ถือบัตร ซึ่งเป็นการดำเนินการทางแพ่ง ไม่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรม

      การถูกโทรศัพท์ทวงหนี้บัตรเครดิตเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง แต่คุณมีสิทธิที่จะได้รับการปฏิบัติอย่างเหมาะสม ในกรณีนี้มีสิ่งที่ควรพิจารณา:

  1. ตรวจสอบความถูกต้อง: ให้แน่ใจว่าเป็นเจ้าหนี้ที่ถูกต้องและมีการระบุข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับหนี้
  2. บันทึกการติดต่อ: จดบันทึกข้อมูลการโทร เช่น วันที่ เวลา ชื่อผู้โทร และรายละเอียดที่พูดคุย เพื่อใช้เป็นหลักฐานหากจำเป็น
  3. รู้สิทธิ์ของคุณ: คุณมีสิทธิที่จะไม่รับโทรศัพท์จากเจ้าหนี้ และสามารถขอให้หยุดการติดต่อได้หากรู้สึกไม่สะดวก
  4. เจรจา: หากคุณพร้อมที่จะพูดคุย คุณอาจเจรจากับเจ้าหนี้เกี่ยวกับการชำระหนี้หรือขอแผนการชำระที่เหมาะสม
  5. ขอคำแนะนำ: หากคุณรู้สึกกดดันหรือไม่แน่ใจในการจัดการ สามารถปรึกษาทนายความหรือผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม

      ไกล่เกลี่ยหลังมีคำพิพากษาได้หรือไม่ หลังจากมีคำพิพากษาแล้ว การไกล่เกลี่ยในทางกฎหมายจะทำได้ยากขึ้น เพราะคำพิพากษาถือเป็นการตัดสินของศาลที่ต้องปฏิบัติตาม อย่างไรก็ตาม คุณยังสามารถทำบางอย่างได้ เช่น:

  1. อุทธรณ์คำพิพากษา: หากคุณไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษา สามารถยื่นอุทธรณ์ในกรอบเวลาที่กำหนด
  2. เจรจาโดยตรงกับเจ้าหนี้: หากคุณต้องการหาทางออกหรือทำแผนการชำระหนี้ใหม่ สามารถติดต่อเจ้าหนี้เพื่อเจรจาได้
  3. ขอความช่วยเหลือจากองค์กรที่เกี่ยวข้อง: บางครั้งมีองค์กรที่สามารถช่วยไกล่เกลี่ยหนี้ให้กับคุณได้

      ถ้าคุณได้รับหมายเรียกให้ไปศาล การไม่ไปศาลอาจมีผลเสียได้ เช่น ศาลอาจออกคำสั่งพิพากษาให้เจ้าหนี้ชนะโดยอัตโนมัติ ซึ่งอาจทำให้คุณต้องชำระหนี้ตามที่เจ้าหนี้เรียกร้อง หากคุณไม่สามารถไปศาลได้ในวันนั้น ควรทำการติดต่อศาลเพื่อขอเลื่อนการพิจารณาหรือชี้แจงเหตุผลที่ไม่สามารถไปได้ เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้ในภายหลัง แต่งตั้งทนายความเพื่อดำเนินการต่างๆแทน ก็จะเป็นการสะดวกกว่าไปศาลเอง

หากคุณไม่มีเงินปิดหนี้บัตรเครดิต สิ่งเหล่านี้ คือ ขั้นตอนที่คุณสามารถพิจารณา:

  1. ติดต่อเจ้าหนี้: แจ้งสถานการณ์ของคุณและลองขอเจรจาเพื่อหาทางออก เช่น การทำแผนการชำระหนี้ หรือการขอให้หยุดการคิดดอกเบี้ยชั่วคราว
  2. ชำระขั้นต่ำ: หากคุณสามารถจ่ายได้แม้แต่จำนวนเงินขั้นต่ำ ก็ควรทำเช่นนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกฟ้องร้องหรือค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม
  3. ขอคำแนะนำทางการเงิน: ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินหรือองค์กรที่ช่วยในการจัดการหนี้ เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด
  4. พิจารณาแหล่งเงินทุนอื่น: เช่น การขอสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า เพื่อใช้ปิดหนี้บัตรเครดิต
  5. การชำระหนี้แบบรวม: หากคุณมีหนี้หลายแห่ง อาจพิจารณาการรวมหนี้เพื่อลดภาระดอกเบี้ยและชำระให้สะดวกขึ้น
  6. หากคุณติดเครดิตบูโรและต้องการปรับปรุงสถานะเครดิตของคุณ นี่คือขั้นตอนที่สามารถช่วยได้:
  7. ตรวจสอบข้อมูลเครดิต: ขอรายงานเครดิตของคุณจากเครดิตบูโรเพื่อตรวจสอบรายละเอียดหนี้สินและประวัติการชำระเงิน
  8. ชำระหนี้ที่ค้าง: หากมีหนี้ค้างชำระ ควรพยายามชำระหนี้ให้หมดหรือทำแผนการชำระหนี้กับเจ้าหนี้
  9. ชำระเงินตรงเวลา: หลังจากนี้ ควรชำระหนี้และค่าใช้จ่ายทั้งหมดตรงเวลา เพื่อสร้างประวัติการชำระเงินที่ดี
  10. ไม่เปิดบัตรเครดิตใหม่มากเกินไป: การขอเปิดบัตรเครดิตหรือสินเชื่อใหม่มากเกินไปอาจทำให้เครดิตคะแนนลดลง
  11. ใช้สินเชื่ออย่างระมัดระวัง: หากคุณได้รับบัตรเครดิตใหม่ ใช้ให้มีระเบียบวินัยและชำระเงินเต็มจำนวนในแต่ละเดือน
  12. รอระยะเวลา: ข้อมูลเชิงลบในเครดิตบูโรมักจะอยู่ในระบบประมาณ 3-5 ปี ขึ้นอยู่กับประเภทของหนี้
  13. การปรับปรุงเครดิตบูโรก็เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา แต่การมีวินัยทางการเงินจะช่วยให้คุณกลับมามีสถานะเครดิตที่ดีได้ในอนาคตค่ะ

หากคุณติดเครดิตบูโรและต้องการปรับปรุงสถานะเครดิตของคุณ นี่คือขั้นตอนที่สามารถช่วยได้:

  1. ตรวจสอบข้อมูลเครดิต: ขอรายงานเครดิตของคุณจากเครดิตบูโรเพื่อตรวจสอบรายละเอียดหนี้สินและประวัติการชำระเงิน
  2. ชำระหนี้ที่ค้าง: หากมีหนี้ค้างชำระ ควรพยายามชำระหนี้ให้หมดหรือทำแผนการชำระหนี้กับเจ้าหนี้
  3. ชำระเงินตรงเวลา: หลังจากนี้ ควรชำระหนี้และค่าใช้จ่ายทั้งหมดตรงเวลา เพื่อสร้างประวัติการชำระเงินที่ดี
  4. ไม่เปิดบัตรเครดิตใหม่มากเกินไป: การขอเปิดบัตรเครดิตหรือสินเชื่อใหม่มากเกินไปอาจทำให้เครดิตคะแนนลดลง
  5. ใช้สินเชื่ออย่างระมัดระวัง: หากคุณได้รับบัตรเครดิตใหม่ ใช้ให้มีระเบียบวินัยและชำระเงินเต็มจำนวนในแต่ละเดือน
  6. รอระยะเวลา: ข้อมูลเชิงลบในเครดิตบูโรมักจะอยู่ในระบบประมาณ 3-5 ปี ขึ้นอยู่กับประเภทของหนี้

      การปรับปรุงเครดิตบูโรก็เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา แต่การมีวินัยทางการเงินจะช่วยให้คุณกลับมามีสถานะเครดิตที่ดีได้ในอนาคต การจัดการหนี้อาจเป็นเรื่องยาก แต่การติดต่อและเจรจากับเจ้าหนี้จะช่วยให้คุณมีทางออกที่ดีกว่าได้

      แบล็กลิสต์ (Blacklist) เป็นคำที่คนทั่วไปมักจะใช้เรียกแทนพฤติกรรมการชำระเงินที่ไม่มีวินัย จนเป็นหนี้เสีย ซึ่งหลายคนมักจะเข้าใจผิดว่าคำนี้มาจากเครดิตบูโร แต่ความจริงแล้ว เครดิตบูโร มีหน้าที่จัดเก็บรักษารวบรวมและประมวลผลข้อมูลสินเชื่อของลูกค้าสถาบันการเงินตามที่สถาบันการเงินหรือบริษัทที่เป็นสมาชิกจัดทำให้เท่านั้น ไม่ได้มีหน้าที่ “ขึ้นบัญชีดำ” หรือ Blacklist อย่างที่เคยเข้าใจกัน

      เมื่อบริหารเครดิตไม่ดี ชำระไม่ตรงตามที่กำหนด สถาบันการเงิน หรือผู้ให้บริการทางการเงินก็แค่ส่งรายการตามความเป็นจริงตามช่วงเวลาที่กำหนดเท่านั้น ผลคือ เมื่อเราไปสมัครสินเชื่อ หรือบัตรเครดิต แล้วไม่ได้รับอนุมัติ ซึ่งเกณฑ์การพิจารณาตรงนี้จะเข้มข้นแตกต่างกันไปตามแต่ละสถาบันจะกำหนด ปัญหาที่เกิดส่วนใหญ่นั้น เป็นกรณีชำระค่างวดล่าช้า ก็จะมีการติดตามทวงถามหนี้ซึ่งส่วนนี้ก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

เมื่อเจ้าของบัตรเครดิตเสียชีวิต ใครต้องรับผิดชอบหนี้หลังจากนั้น

• บิดาหรือมารดาเป็นเจ้าของบัตรเครดิต ผู้มีหน้าที่รับภาระต้องเป็น “บุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย” เจ้าหนี้สามารถเรียกให้ชำระหนี้ได้ แต่บุตรที่ชอบด้วยกฎหมายไม่จำเป็นต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกทอดได้แก่ตน หากไม่มีทรัพย์มรดกตกทอด บุตรที่ชอบด้วยกฎหมายไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว

• คู่สมรสเป็นเจ้าของบัตรเครดิตกรณีที่มีการจดทะเบียนสมรส และหนี้บัตรเครดิตเกิดขึ้นภายหลังการสมรส สามีหรือภริยาของคู่สมรสที่เสียชีวิต อาจต้องเป็นผู้รับผิดชอบหนี้สิน ก้อนนั้น ๆ หากพิสูจน์ได้ว่า หนี้ดังกล่าวเกิดขึ้นจากการใช้จ่ายร่วมกันในระหว่างสมรส ซึ่งถือว่าเป็นหนี้ร่วมกันระหว่างสามีภริยา

• เป็นผู้ถือบัตรเสริมเนื่องจากบัตรเสริมและบัตรหลักของบัตรเครดิตนั้น “ใช้วงเงินร่วมกัน” จึงต้องร่วมกันรับผิดชอบหนี้บัตรเครดิตทั้งนี้ หนี้บัตรเครดิต มีอายุความ 2 ปี นับแต่มีการชำระหนี้แก่สถาบันการเงินครั้งสุดท้าย และเป็น “คดีแพ่ง” ไม่ใช่คดีอาญาจึงไม่มีโทษจำคุก แต่หากไม่ชำระหนี้ สถาบันการเงินมีสิทธิบังคับคดีด้วยการยึดทรัพย์ออกขายทอดตลาดหรือหักเงินเดือน

      เป็นหนี้บัตรเครดิตแล้วตายลง พ่อแม่จะถูกบังคับคดีหรือไม่ โดยทั่วไปแล้ว หากคุณเป็นหนี้บัตรเครดิตและไม่สามารถชำระหนี้ได้ เจ้าหนี้ไม่สามารถยึดทรัพย์สินของพ่อแม่คุณได้ ยกเว้นในกรณีที่พ่อแม่ของคุณเป็นผู้ค้ำประกันหนี้หรือมีชื่อในสัญญาเครดิตนั้น ๆ ในประเทศไทย การยึดทรัพย์สินต้องมีการดำเนินการตามกฎหมายและต้องอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายที่กำหนด ซึ่งรวมถึงการพิสูจน์ว่ามีการผิดนัดชำระหนี้จริง

หากท่านไม่ได้รับความเป็นธรรมทางกฎหมาย ติดต่อ สำนักงานกฎหมาย อุดมคดี ที่
เบอร์ 082-583-8658
Line : @Udomkadee
Fanpage : https://www.facebook.com/UDOMKADEE