แชร์ลูกโซ่

แชร์ลูกโซ่ คือ รูปแบบการลงทุนที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งมักมีลักษณะการระดมทุนจากนักลงทุนใหม่ เพื่อจ่ายผลตอบแทนให้กับนักลงทุนเก่าหรือผู้ที่เข้ามาลงทุนก่อนหน้า โดยที่ไม่มีการลงทุนจริงในสินทรัพย์หรือธุรกิจที่มีมูลค่า การดำเนินการในลักษณะนี้จะพังทลายลงเมื่อไม่สามารถหานักลงทุนใหม่ได้เพียงพอในการจ่ายผลตอบแทน ทำให้ผู้ที่เข้ามาลงทุนในช่วงท้ายมักจะสูญเสียเงินทั้งหมด นี่จึงเป็นเหตุผลที่แชร์ลูกโซ่ถือเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงและไม่แนะนำให้เข้าร่วม.

ธุรกิจขายตรง คืออะไร

     ธุรกิจขายตรง (Direct Selling) คือ โมเดลธุรกิจที่ผู้ขายจะทำการขายผลิตภัณฑ์หรือบริการโดยตรงให้กับผู้บริโภค โดยไม่ผ่านร้านค้าหรือแพลตฟอร์มขายปลีกแบบดั้งเดิม ผู้ขายสามารถทำการขายจากบ้านหรือสถานที่อื่น ๆ และมักจะใช้วิธีการแนะนำเพื่อนหรือครอบครัว รวมถึงการจัดงานนำเสนอผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างยอดขาย

ลักษณะเด่นของธุรกิจขายตรง:

  1. การตลาดแบบเครือข่าย: ผู้ขายสามารถสร้างรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์และจากค่าคอมมิชชั่นจากการชักชวนคนอื่นเข้าร่วม
  2. ผลิตภัณฑ์เฉพาะเจาะจง: มักมีผลิตภัณฑ์ที่มีความเฉพาะเจาะจงหรือคุณภาพสูงที่ยากจะหาซื้อจากร้านค้า
  3. ความยืดหยุ่น: ผู้ขายมีความยืดหยุ่นในการกำหนดเวลาทำงานและรูปแบบการขาย
  4. การฝึกอบรม: หลายบริษัทมักมีการฝึกอบรมและสนับสนุนผู้ขายในการพัฒนาทักษะการขาย

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่สนใจเข้าร่วมธุรกิจขายตรงควรศึกษาข้อมูลและประเมินบริษัทให้ดี เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าร่วมธุรกิจที่มีลักษณะคล้ายแชร์ลูกโซ่.

แชร์ลูกโซ่กับ ขายตรง ต่างกันอย่างไร

แชร์ลูกโซ่ (Ponzi scheme) และขายตรง (Direct Selling) มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในด้านโครงสร้างและวิธีการดำเนินงาน ดังนี้

แชร์ลูกโซ่

  • โครงสร้าง: อิงจากการระดมทุนจากนักลงทุนใหม่เพื่อนำเงินไปจ่ายให้กับนักลงทุนเก่า โดยไม่มีการลงทุนในสินทรัพย์จริง
  • ความยั่งยืน: ไม่ยั่งยืนและมีความเสี่ยงสูง จะล้มเหลวเมื่อไม่มีนักลงทุนใหม่
  • กฎหมาย: เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายในหลายประเทศ

ขายตรง

  • โครงสร้าง: ผู้ขายจะขายผลิตภัณฑ์หรือบริการโดยตรงให้กับผู้บริโภค และมักจะได้รับค่าคอมมิชชั่นจากการขายและการชักชวนคนอื่นเข้าร่วม
  • ความยั่งยืน: ถ้าผลิตภัณฑ์หรือบริการมีคุณภาพและตลาดมีความต้องการ จะสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน
  • กฎหมาย: ขายตรงเป็นกิจกรรมที่ถูกกฎหมาย แต่ต้องดำเนินการตามกฎระเบียบที่กำหนดโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การระมัดระวังและศึกษาข้อมูลให้ดีจึงเป็นสิ่งสำคัญเมื่อพิจารณาเข้าร่วมธุรกิจในลักษณะใด ๆ

ทำอย่างไรไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ การป้องกันตัวเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของแชร์ลูกโซ่สามารถทำได้โดยการระมัดระวังและตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียด ดังนี้:

  1. ศึกษาข้อมูลบริษัท: ตรวจสอบประวัติและความน่าเชื่อถือของบริษัทหรือโครงการที่เสนอการลงทุน ตรวจสอบรีวิวและความคิดเห็นจากแหล่งที่เชื่อถือได้
  2. ดูที่ผลตอบแทนที่ไม่สมจริง: หากมีการเสนอผลตอบแทนที่สูงเกินจริงในระยะเวลาสั้นๆ ควรสงสัยและตรวจสอบเพิ่มเติม
  3. หลีกเลี่ยงการลงทุนที่ไม่โปร่งใส: หากไม่มีข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับวิธีการดำเนินงานหรือที่มาของรายได้ ควรหลีกเลี่ยงการลงทุน
  4. สอบถามเกี่ยวกับแผนธุรกิจ: ถามถึงวิธีการสร้างรายได้และการลงทุนว่ามีการดำเนินการอย่างไร
  5. ไม่ควรเร่งรีบในการตัดสินใจ: หากรู้สึกถูกกดดันให้ลงทุนทันที ควรหยุดและคิดทบทวน
  6. หารือกับผู้เชี่ยวชาญ: หากไม่แน่ใจเกี่ยวกับการลงทุน ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงินหรือทนายความ
  7. ระมัดระวังเมื่อมีการชักชวนจากคนรู้จัก: แม้ว่าคนที่ชักชวนอาจจะมีเจตนาดี แต่ก็ควรตรวจสอบข้อมูลด้วยตัวเอง

ธุรกิจแอบแฝงแชร์ลูกโซ่

ธุรกิจแอบแฝงแชร์ลูกโซ่ มักมีลักษณะการดำเนินงานที่ดูเหมือนถูกต้องตามกฎหมาย แต่มีโครงสร้างที่สร้างขึ้นเพื่อใช้การระดมทุนจากนักลงทุนใหม่เพื่อนำไปจ่ายผลตอบแทนให้กับนักลงทุนเก่า นี่คือบางลักษณะของธุรกิจแอบแฝงแชร์ลูกโซ่:

  1. การลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่ไม่ชัดเจน: บางครั้งอาจมีการเสนอขายผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ไม่ค่อยมีความต้องการในตลาด เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการสร้างรายได้
  2. ผลตอบแทนสูงเกินจริง: มีการโฆษณาผลตอบแทนที่สูงมากในระยะเวลาสั้น ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าอาจมีความไม่ถูกต้อง
  3. การสร้างความกดดันให้ลงทุน: อาจมีการใช้เทคนิคการตลาดที่ทำให้รู้สึกว่าต้องลงทุนทันทีหรือจะพลาดโอกาสดี
  4. การเน้นการชักชวนคนอื่น: มักมีการกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมชักชวนคนอื่นๆ เพื่อให้มีรายได้จากการลงทะเบียนหรือการขายผลิตภัณฑ์
  5. การไม่เปิดเผยข้อมูลทางการเงิน: ขาดความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจและผลการดำเนินงาน
  6. การใช้คำพูดที่ฟังดูน่าเชื่อถือ: บางครั้งมีการใช้ศัพท์เทคนิคหรือคำพูดที่ฟังดูดีเพื่อสร้างความเชื่อมั่น

หลักการธุรกิจขายตรงที่ถูกต้อง มีหลายด้านที่สำคัญ ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินการได้อย่างยั่งยืนและถูกต้องตามกฎหมาย ดังนี้:

  1. ผลิตภัณฑ์คุณภาพ: ควรมีผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีคุณภาพและเป็นที่ต้องการในตลาด เพื่อให้ผู้ขายสามารถเสนอขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  2. การเปิดเผยข้อมูล: บริษัทต้องมีความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ โครงสร้างค่าคอมมิชชั่น และวิธีการดำเนินงาน เพื่อให้ผู้เข้าร่วมมีความเข้าใจชัดเจน
  3. การฝึกอบรมและสนับสนุน: ควรมีการฝึกอบรมที่เหมาะสมให้กับผู้ขาย เพื่อพัฒนาทักษะการขายและการบริการลูกค้า
  4. การสร้างเครือข่าย: ธุรกิจขายตรงควรเน้นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าและผู้ขาย โดยไม่ใช้การกดดันหรือกลยุทธ์ที่ไม่เหมาะสม
  5. ไม่ใช้การชักชวนเพื่อสร้างรายได้: การสร้างรายได้ควรมาจากการขายผลิตภัณฑ์จริง ไม่ใช่จากการชักชวนคนใหม่เข้าร่วมธุรกิจเพียงอย่างเดียว
  6. การปฏิบัติตามกฎหมาย: บริษัทต้องปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจขายตรง รวมถึงการจดทะเบียนและการเปิดเผยข้อมูลทางการเงิน
  7. การส่งเสริมจริยธรรม: ส่งเสริมให้ผู้ขายมีจริยธรรมในการทำธุรกิจ โดยไม่หลอกลวงหรือใช้วิธีการที่ไม่เหมาะสมในการขาย

การดำเนินธุรกิจขายตรงตามหลักการเหล่านี้จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและความยั่งยืนให้กับธุรกิจ และสามารถป้องกันการเกิดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต.

1. พระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527

มาตรา 4   : ผู้กระทำการหลอกลวงประชาชนโดยให้ชักชวนให้ลงทุน โดยนำเงินหรือทรัพย์สิน และให้ไปชักชวนคนให้นำเงินมาลงทุนต่อไปเรื่อยๆ ต่อกันไปไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งอ้างว่าจะได้ผลตอบแทนสูง โดยผู้หลอกลวงมิได้นำเงินที่ได้มาไปประกอบธุรกิจที่ถูกกฎหมายเพียงแต่นำเงินที่ได้มาจากผู้ลงทุนรายใหม่ไปหมุนเวียนจ่ายให้แก่ผู้ลงทุนรายเก่า

มาตรา 5  : เป็นความผิดเกี่ยวกับการโฆษณาชักชวนให้ประชาชนนำเงินมาลงทุนฯ ตามลักษณะของมาตรา 4

มาตรา 12 : ผู้ใดกระทำความผิดตามมาตรา 4 หรือมาตรา 5 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปีถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 5 แสนบาทถึง 1 ล้านบาท และปรับอีกไม่เกินวันละ 1 หมื่นบาท ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่

2. ประมวลกฎหมายอาญา (ความผิดฐานฉ้อโกง)

มาตรา 341: ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้น ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้น กระทำความผิดฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

3. ประมวลกฎหมายอาญา (ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน)

มาตรา 343: ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 341 ได้กระทำด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชน หรือด้วยการปกปิดความจริง ซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชน ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวโนวรรคแรก ต้องด้วยลักษณะดังกล่าวใน

มาตรา 342: อนุมาตราหนึ่งอนุมาตราใดด้วย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 7 ปี และปรับตั้งแต่ 1 พันบาทถึง 1 หมื่น 4 พันบาท

พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550

มาตรา 3, 14 (1) ฐานร่วมกันนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ประกอบกับความผิดฐานร่วมกัน “กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน” และร่วมกัน “ฉ้อโกงประชาชน”วรศึกษาจากเอกสารกฎหมายหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายโดยตรงค่ะ

          ฎีกาที่ 1758/2542 ตามพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 6(3)ประกอบกฎกระทรวง (พ.ศ. 2534) ห้ามมิให้บุคคลธรรมดาเป็นนายวงแชร์หรือจัดให้มีการเล่นแชร์ที่มีทุนกองกลางต่อหนึ่งงวดรวมกันทุกวงเป็นมูลค่ามากกว่าสามแสนบาทผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษตามมาตรา 17 แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการที่สมาชิกวงแชร์จะฟ้องคดีหรือใช้สิทธิเรียกร้องเอากับนายวงแชร์หรือผู้จัดให้มีการเล่นแชร์ตามมาตรา 7แสดงว่ากฎหมายมิได้กำหนดว่าการเล่นแชร์ตกเป็นโมฆะเสียทั้งหมด ส่วนการฟ้องคดีหรือใช้สิทธิเรียกร้องระหว่างสมาชิกวงแชร์ด้วยกันมิได้มีบทบัญญัติรับรองไว้ แต่เป็นที่เห็นได้ว่ากฎหมายมุ่งประสงค์ที่จะเอาโทษแก่ นายวงแชร์หรือผู้จัดให้มีการเล่นแชร์เท่านั้น โดยมีเหตุผล อยู่ในหมายเหตุท้ายประกาศใช้พระราชบัญญัตินี้ จึงเห็นได้ว่า กฎหมายมิได้บัญญัติห้ามโดยเด็ดขาดว่าการเล่นแชร์ ของประชาชนทั่วไปเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายทั้งหมด การผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างโจทก์จำเลยในฐานะสมาชิกวงแชร์ ที่มี น. ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาเป็นนายวงแชร์ย่อมไม่เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 6 นิติกรรมการเล่นแชร์ของโจทก์จำเลย จึงไม่ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 173 เมื่อจำเลยออกเช็คเพื่อชำระเงินรวมเข้าเป็นทุนกองกลาง เป็นงวด ๆ เพื่อให้สมาชิกวงแชร์หมุนเวียนกันรับทุนกองกลางแต่ละงวดนั้นไปโดยการประมูล จำเลยจึงต้องรับผิดตามเนื้อความ ในเช็คนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900 วรรคหนึ่ง

          ฎีกาที่ 2112/2565 โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดข้อหาเป็นนายวงแชร์จัดให้มีการเล่นแชร์มีจำนวนวงแชร์รวมกันมากกว่าสามวงและมีจำนวนสมาชิกวงแชร์รวมกันทุกวงมากกว่าสามสิบคน โดยเป็นนายวงแชร์และจัดให้มีการเล่นแชร์พร้อมกับวงแชร์อื่นหลายวงมากกว่าสามวง และมีสมาชิกวงแชร์รวมกันทุกวงมากกว่าสามสิบคน แต่ในคำฟ้องโจทก์ที่บรรยายพฤติการณ์การกระทำความผิดของจำเลยให้เห็นว่า จำเลยเพียงแต่อ้างการจัดให้มีการเล่นแชร์มาเป็นข้อหลอกลวงเพื่อให้ได้เงินค่างวดแชร์จากผู้เสียหายหรือผู้อื่น จำเลยมิได้มีเจตนาจัดให้มีการเล่นแชร์ตามข้อกล่าวอ้างอันเป็นองค์ประกอบความผิดต่อ พ.ร.บ.การเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 6 (1) (2) จึงฟังไม่ได้ว่าเป็นการเล่นแชร์ตาม พ.ร.บ.การเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 4 แม้จำเลยให้การรับสารภาพ แต่เมื่อพฤติการณ์การกระทำความผิดของจำเลยตามฟ้องมีเจตนาแท้จริงคือหลอกลวงฉ้อโกงประชาชนด้วยแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่าเป็นวงแชร์ที่ให้ผลตอบแทนโดยไม่มีเจตนาจ่ายผลตอบแทนจริงและไม่มีการเปียหรือประมูลแชร์แต่อย่างใด ที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องไม่อาจถือเป็นความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าวได้ ย่อมไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดข้อหาดังกล่าวได้

          ฎีกาที่ 2318/2553 การกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.การเล่นแชร์ พ.ศ.2534 มาตรา 4, 6 (1) (2), 17 ผู้กระทำจะต้องมีเจตนาจัดให้มีการเล่นแชร์หรือเป็นนายวงแชร์ที่แท้จริง ดังนี้ แม้ตามคำฟ้องตอนต้นระบุว่า จำเลยเป็นนายวงแชร์ 7 วง อันเป็นการจัดให้มีการเล่นแชร์มากกว่าสามวงและมีสมาชิกวงแชร์รวมกันทุกวงมากกว่าสามสิบคน และกระทำความผิดฐานฉ้อโกงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งเกี่ยวกับการจัดตั้งวงแชร์ของจำเลยต่อผู้เสียหายที่ 1 ถึงที่ 7 และประชาชนทั่วไป แต่ในคำฟ้องต่อไปได้อธิบายถึงพฤติการณ์ของจำเลยว่า ความจริงจำเลยไม่มีสมาชิกครบตามจำนวนวงแชร์ดังที่จำเลยแจ้งต่อผู้เสียหายทั้งเจ็ดและผู้อื่น แต่จำเลยอ้างหรือจัดตั้งชื่อผู้มีชื่อขึ้นมาเป็นสมาชิกเพื่อให้ครบตามจำนวนสมาชิกวงแชร์ อันเป็นความเท็จ โดยจำเลยมีเจตนาทุจริตเพื่อให้ผู้เสียหายทั้งเจ็ดและผู้อื่นหลงเชื่อเข้าร่วมเป็นสมาชิกวงแชร์เพื่อให้จำเลยได้เงินค่างวดแชร์จากผู้เสียหายแต่ละคน แสดงว่าจำเลยเพียงแต่อ้างการจัดให้มีการเล่นแชร์มาเป็นข้อหลอกลวงเพื่อให้ได้เงินค่างวดแชร์ จำเลยมิได้มีเจตนาจัดให้มีการเล่นแชร์อันเป็นองค์ประกอบความผิดตามที่โจทก์ระบุในตอนต้นของคำฟ้อง ทั้งตามฟ้องโจทก์มิได้บรรยายชัดแจ้งว่าบุคคลที่เข้าร่วมเล่นแชร์กับจำเลยและผู้เสียหายทั้งเจ็ดในแต่ละวงที่แท้จริงมีจำนวนเท่าใด จึงยังฟังไม่ได้ว่าเป็นกรณีมีบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปตกลงกันเป็นสมาชิกวงแชร์อันจะเป็นการเล่นแชร์ตาม พ.ร.บ.การเล่นแชร์ พ.ศ.2534 มาตรา 4 ดังนี้ แม้จำเลยให้การรับสารภาพ เมื่อพฤติการณ์ของจำเลยตามที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องไม่อาจถือเป็นความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าวย่อมไม่อาจลงโทษจำเลยได้

หากท่านไม่ได้รับความเป็นธรรมทางกฎหมาย ติดต่อ สำนักงานกฎหมาย อุดมคดี ที่
เบอร์ 082-583-8658
Line:@Udomkadee
Fanpage: https://www.facebook.com/UDOMKADEE